แปรงฟันแล้วเลือดออก สาเหตุและวิธีป้องกัน

สาเหตุของการแปรงฟันแล้วเลือดออก

การแปรงฟันแล้วเลือดออก หมายถึง ภาวะที่มีเลือดออกบริเวณเหงือกขณะทำการแปรงฟัน หรือ อาจเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้มีการกระตุ้นใด ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของเหงือกและอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพในช่องปากที่ควรให้ความสนใจ โดยปกติแล้วการแปรงฟันที่ถูกวิธีจะไม่ทำให้เหงือกมีเลือดออก หากมีเลือดออกแสดงว่าเหงือกมีความอ่อนแอ อักเสบ หรือมีปัญหาอื่น ๆ เกิดขึ้น

สาเหตุของแปรงฟันแล้วเลือดออกเลือดออกขณะแปรงฟัน – สาเหตุหลัก ๆ ของการมีเลือดออกขณะแปรงฟันสามารถแบ่งออกได้ดังนี้

1. โรคเหงือกอักเสบ – เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด

  • คราบพลัคและการสะสมของหินปูน – เมื่อเราทานอาหารจะมีเศษอาหารและแบคทีเรียรวมตัวกันเกิดเป็นคราบพลัค Plaque เกาะอยู่ตามผิวฟันและขอบเหงือก หากไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ คราบพลัคจะแข็งตัวกลายเป็นหินปูน ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่ยากต่อการกำจัดด้วย
  • การอักเสบและการติดเชื้อของเหงือก – แบคทีเรียในคราบพลัคและหินปูนจะปล่อยสารพิษออกมา ทำให้เหงือกเกิดการระคายเคือง อักเสบ บวมแดง และเปราะบาง ทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขณะแปรงฟัน

2. การแปรงฟันที่ไม่ถูกต้อง – การดูแลสุขภาพช่องปากที่ไม่เหมาะสมก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญ

  • การแปรงฟันแรงเกินไป – การออกแรงกดแปรงสีฟันมากเกินไปหรือการขัดถูอย่างรุนแรงสามารทำให้เหงือกเกิดการบาดเจ็บและมีเลือดออกได้
  • การใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงแข็งเกินไป – การเลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงแข็งกระด้างอาจทำให้เหงือกระคายเคืองและบาดเจ็บได้ง่าย ควรเลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม
  • การใช้ไหมขัดฟันไม่ถูกวิธี  – การใช้ไหมขัดฟันอย่างไม่ระมัดระวัง เช่น การกระแทกไหมแรง ๆ หรือ การดึงไหมขึ้นลงอย่างรุนแรง อาจทำให้เหงือกฉีกขาดและมีเลือดออกได้

3. การใช้ยาบางชนิด – ยาบางประเภทอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือ ทำให้เหงือกบอบบางลง

  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด – ยาในกลุ่มนี้ เช่น วาร์ฟาริน Warfarin หรือ แอสไพริน จะทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง ทำให้เลือดออกง่ายและหยุดยาก รวมถึงเลือดออกที่เหงือกด้วย
  • ยาบางชนิดที่ส่งผลต่อเหงือก – ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงทำให้เหงือกบวม หรือ ทำให้เหงือกไวต่อการระคายเคืองมากขึ้น

4. ภาวะสุขภาพอื่นๆ – ปัญหาสุขภาพบางอย่างอาจส่งผลต่อสุขภาพเหงือกและทำให้มีเลือดออกขณะแปรงฟันได้

  • การขาดวิตามินซี – วิตามินซีมีความสำคัญต่อการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย รวมถึงเหงือก การขาดวิตามินซีอาจทำให้เหงือกอ่อนแอและมีเลือดออกง่าย
  • โรคเบาหวาน – ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคเหงือกอักเสบ เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและทำให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อได้ยากขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (เช่น ในช่วงตั้งครรภ์) – การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์ อาจทำให้เหงือกมีความไวต่อการอักเสบและมีเลือดออกง่ายขึ้น
  • โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว Leukemia – ในบางกรณี เลือดออกที่เหงือกอาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เนื่องจากโรคนี้ส่งผลต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือด ทำให้เกิดภาวะเลือดออกง่าย

อาการที่เกี่ยวข้องกับแปรงฟันแล้วเลือดออก

การมีเลือดออกขณะแปรงฟันไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาในช่องปาก โดยอาการที่เกี่ยวข้องและอาจพบร่วมกับการแปรงฟันแล้วเลือดออกมีดังนี้

  • เหงือกบวมแดง – เหงือกที่มีสุขภาพดีจะมีสีชมพูอ่อน แนบกระชับกับตัวฟัน หากเหงือกบวมโตชึ้น สีแดงเข้ม หรือ ม่วงคล้ำ แสดงว่ามีการอักเสบเกิดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เลือดออกง่ายเมื่อถูกสัมผัส เช่น การแปรงฟัน
  • เหงือกร่น – ภาวะที่ขอบเหงือกร่นต่ำลง เผยให้เห็นส่วนของรากฟันมากขึ้น ทำให้ฟันดูยาวขึ้น และเกิดช่องว่างระหว่างเหงือกกับฟัน (ร่องลึกปริทันต์) ซึ่งเป็นที่สะสมของแบคทีเรียและเศษอาหาร การแปรงฟันบริเวณที่เหงือกร่นอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและเลือดออกได้ง่าย
  • กลิ่นปาก – การสะสมของแบคทีเรียและเศษอาหารในช่องปาก โดยเฉพาะบริเวณร่องเหงือกที่อักเสบหรือบริเวณที่ทำความสะอาดได้ยาก จะทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือ กลิ่นปาก ซึ่งมักพบร่วมกับภาวะเหงือกอักเสบและเลือดออก
  • ฟันโยก – ในระยะที่รุนแรงของการอักเสบของเหงือก (โรคปริทันต์) การทำลายของกระดูกที่รองรับฟันจะมากขึ้น ทำให้ฟันเริ่มโยกหรือเคลื่อนที่ การแปรงฟันในบริเวณที่ฟันโยกอาจทำให้เกิดการเสียดสีและมีเลือดออกได้

วิธีป้องกันเลือดออกขณะแปรงฟัน

การป้องกันไม่ให้มีเลือดออกขณะแปรงฟันนั้น มุ่งเน้นไปที่การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างถูกวิธี เพื่อลดและกำจัดคราบพลัคที่เป็นสาเหตุหลักของการอักเสบเหงือก

  • การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างถูกวิธี
    • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยแปรงสีฟันขนอ่อนนุ่ม – การแปรงฟันเป็นสิ่งสำคัญในการกำจัดคราบพลัคและเศษอาหาร ควรเลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม เพื่อไม่ให้ทำร้ายเหงือก และ แปรงให้ทั่วทุกซี่ ทุกด้าน อย่างน้อย 2 นาทีต่อครั้ง โดยเน้นบริเวณร่องเหงือก
    • ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ – การแปรงฟันเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำความสะอาดซอกฟันได้หมดจด การใช้ไหมขัดฟันจะช่วยกำจัดคราบพลัคและเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟัน ซึ่งเป็นบริเวณที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง ควรใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน หรือ หลังอาหาร
    • บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ช่วยลดแบคทีเรีย – การบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยลดแบคทีเรีย สามารถช่วยลดจำนวนแบคทีเรียในช่องปาก และช่วยให้ลมหายใจสดชื่นขึ้น ควรเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันการระคายเคือง
  • การขูดหินปูนเป็นประจำ
    • พบทันตแพทย์เพื่อขูดหินปูนทุก 6 เดือน – แม้จะดูแลช่องปากอย่างดีแล้ว แต่คราบพลัคที่สะสมและแข็งตัวกลายเป็นหินปูนจะไม่สามารถกำจัดออกได้ ด้วยการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟัน การขูดหินปูนโดยทันตแพทย์จะช่วยกำจัดหินปูนและคราบต่าง ๆ ที่ติดแน่นบนผิวฟันและใต้ซอกเหงือก ซึ่งเป็นการป้องกันและรักษาโรคเหงือกอักเสบที่มีประสิทธิภาพ
  • การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
    • รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง – วิตามินซีมีความสำคัญต่อสุขภาพของเหงือกและเนื้อเยื่อในช่องปาก การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว ผักใบเขียว จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเหงือก
    • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง – น้ำตาลเป็นอาหารของแบคทีเรียในช่องปาก ซึ่งจะผลิตกรดที่ทำลายเคลือบฟันและก่อให้เกิดโรคเหงือก การลดปริมาณการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงจะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้
  • การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
    • งดสูบบุหรี่ – การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเหงือกและทำให้โรคเหงือกรุนแรงขึ้น บุหรี่จะทำให้การไหลเวียนโลหิตในเหงือกไม่ดี ทำให้เหงือกอ่อนแอและมีเลือดออกง่ายขึ้น การงดสูบบุหรี่จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพช่องปาก

วิธีการรักษาอาการเลือดออกขณะแปรงฟัน

เมื่อแปรงฟันแล้วเลือดออกสิ่งสำคัญที่สุดคือการหาสาเหตุและทำการรักษาตามสาเหตุนั้น ๆ โดยทั่วไปแล้ว การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับการอักเสบและการติดเชื้อในช่องปาก ซึ่งมีแนวทางการรักษารายละเอียดดังนี้

  • การขูดหินปูนและเกลารากฟัน 
    • การขูดหินปูน – เป็นขั้นตอนแรกของการรักษาโรคเหงือก โดยทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษ ทั้งแบบมือและแบบอัตราโซนิก เพื่อกำจัดคราบหินปูนและคราบพลัคที่สะสมอยู่บนผิวฟัน เหนือ และ ใต้ขอบเหงือก การกำจัดสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดการระคายเคืองและการอักเสบของเหงือก
    • การเกลารากฟัน – ในกรณีที่โรคเหงือกลุกลามลงไปถึงรากฟัน ทันตแพทย์จะทำการเกลารากฟันให้เรียบ เพื่อกำจัดคราบหินปูน คราบพลัค และ เนื้อเยื่อที่ติดเชื้อที่อยู่บนผิวรากฟันที่ขรุขระ การทำให้ผิวรากฟันเรียบจะช่วยให้เหงือกสามารถกลับมายึดติดกับฟันได้ดีขึ้น และลดการสะสมของแบคทีเรีย
  • การใช้ยาปฏิชีวนะ (ในกรณีที่มีการติดเชื้อ)
    • บางกรณีที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรงในช่องปาก ทันตแพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยควบคุมการติดเชื้อ ยาปฏิชีวนะอาจให้รูปแบบรับประทานหรือในรูปแบบยาเฉพาะที่ เช่น น้ำยาบ้วนปากหรือเจลทาบริเวณเหงือก การใช้ยาปฏิชีวนะควรอยู่ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์เท่านั้น และควรรับประทานยาให้ครบตามที่ทันตแพทย์สั่ง แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตามเพื่อป้องกันการดื้อยา
    • การรักษาโรคเหงือกอักเสบ นอกเหนือจากการขูดหินปูนและเกลารากฟันแล้ว การรักษาโรคเหงือกอักเสบยังรวมถึงการปรับปรุงสุขอนามัยในช่องปากด้วยตนเองอย่างเคร่งครัด ซึ่งได้แก่ การแปรงฟันอย่างถูกวิธีด้วยแปรงสีฟันขนนุ่มอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การใช้ไหมขัดฟันทุกวันและการบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ช่วยลดแบคทีเรีย ทันตแพทย์อาจแนะนำวิธีการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันที่ถูกต้อง รวมถึงให้คำแนะนำในการเลือกใช้อุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่เหมาะสมกับสภาพเหงือกของคุณ
    • การปรับเปลี่ยนยา (ในกรณีที่ยาเป็นสาเหตุ) หากทันตแพทย์สงสัยว่ายาที่คุณกำลังใช้อยู่อาจเป็นสาเหตุให้เหงือกมีเลือดออกง่ายขึ้น ทันตแพทย์อาจปรึกษาแพทย์ผู้สั่งจ่ายยา เพื่อพิจารณาปรับเปลี่ยนขนิดของยา หรือ ปรับเปลี่ยนขนาดยา หากสามารถทำได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการรักษาโรคประจำตัวของคุณ
    • การรักษาเพิ่มเติม (ในกรณีที่รุนแรง) ในกรณีที่โรคปริทันต์มีความรุนแรงและมีการทำลายของเนื้อเยื่อและกระดูกรอบฟันมาก ทันตแพทย์อาจพิจารณาทำการรักษาเพิ่มเติม เช่น
    • การผ่าตัดเหงือก เพื่อลดร่องลึกปริทันต์ ปรับรูปร่างเหงือก หรือ ปลูกถ่ายกระดูกในบริเวณที่ถูกทำลาย
    • การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อเหงือก เพื่อแก้ไขภาวะเหงือกร่น

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

  • แปรงฟันแล้วเลือดออกเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงหรือไม่?

โดยส่วนใหญ่แล้ว การแปรงฟันแล้วเลือดออกมักเป็นสัญญาณของโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่โรคปริทันต์ที่รุนแรงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่พบได้น้อย เลือดออกในช่องปากอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด หรือภาวะขาดวิตามิน ดังนั้น หากมีเลือดออกเป็นประจำ ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

  • ควรใช้แปรงสีฟันแบบไหน?

ควรเลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม เพื่อลดการระคายเคืองและการทำลายเหงือก ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3-4 เดือน หรือ เมื่อขนแปรงเริ่มบาน

  • ไหมขัดฟันช่วยป้องกันเลือดออกขณะแปรงฟันได้อย่างไร?

ไหมขัดฟันช่วยกำจัดคราบพลัคและเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟัน ซึ่งเป็นบริเวณที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง การกำจัดคราบพลัคในบริเวณนี้จะช่วยลดการอักเสบของเหงือก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของเลือดออกขณะแปรงฟันการใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ จึงช่วยป้องกัน การเกิดโรคเหงือกและลดโอกาสการมีเลือดออก

  • ควรไปพบทันตแพทย์เมื่อไหร่?

ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำทุก 6 เดือน หากมีอาการเลือดออกขณะแปรงฟันเหงือกบวมแดงเหงือกร่น มีกลิ่นปากและฟันโยก ควรรีบพบทันตแพทย์โดยเร็วเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

  • การใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยลดเลือดออกได้หรือไม่?

น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยลดแบคทีเรีย เช่น คลอร์เฮกซิดีน (Chlorhexidine) สามารถช่วยลดจำนวนแบคทีเรียในช่องปาก และช่วยลดการอักเสบของเหงือกได้บ้าง อย่างไรก็ตามน้ำยาบ้วนปากไม่สามารถ กำจัดคราบพลัคและหินปูนที่สะสมอยู่ได้ ดังนั้นการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟันยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพช่องปาก

  • อาหารประเภทไหนที่ช่วยบำรุงเหงือก?

อาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว ฝรั่งและผักใบเขียว มีความสำคัญต่อสุขภาพของเหงือกและเนื้อเยื่อช่องปาก การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุลจะช่วยสร้างความแข็งแรงของเนื้อและช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดีขึ้น

  • การสูบบุหรี่มีผลต่อเหงือกอย่างไร?

การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเหงือกและทำให้โรคเหงือกรุนแรงขึ้น สารเคมีในบุหรี่จะทำให้การไหลเวียนโลหิตในเนื้อไม่ดี ทำให้เหงือกอ่อนแอและมีเลือดออกง่ายขึ้น นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังทำให้การรักษาโรคเหงือกได้ผลน้อยลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสียฟัน

  • การตั้งครรภ์ทำให้เหงือกมีเลือดออกง่ายขึ้นหรือไม่?

ในช่วงตั้งครรภ์ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปอาจทำให้เหงือกไวต่อการอักเสบ และมีเลือดออกง่ายขึ้นอย่างไรก็ตามการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างดีในช่วงตั้งครรภ์ยังคงมีความสำคัญเพื่อป้องกันปัญหาเหงื่อที่อาจเกิดขึ้น

  • มีวิธีห้ามเลือดเบื้องต้นอย่างไรเมื่อแปรงฟันแล้วเลือดออก?

โดยทั่วไปเลือดที่ออกจากการแปรงฟันมักจะหยุดได้เองภายในเวลาไม่นาน หากมีเลือดออกมาก สามารถใช้นิ้วสะอาดกดบริเวณ เนื้อที่เลือดออกประมาณ 23 นาที หรือบ้วนปากด้วยน้ำเย็น

  • หากแปรงฟันแล้วเลือดออก ควรหยุดแปรงฟันหรือไม่?

ไม่ควรหยุดแปรงฟัน แม้ว่าจะมีเลือดออกการแปรงฟันอย่างอ่อนโยนและทั่วถึง รวมถึงการใช้ไหมขัดฟันจะช่วยกำจัดคราบพลัคที่เป็นสาเหตุของการอักเสบในเลือดออกในที่สุด หากหยุดแปรงฟันบริเวณที่มีเลือดออก คราบพลัคจะยังคงสะสมและทำให้อาการแย่ลงได้ ควรแปรงฟันเบาๆ และเน้นบริเวณที่ยังมีเลือดออกเพื่อกระตุ้นให้เนื้อแข็งแรงขึ้นเมื่อการอักเสบลดลงเลือดจะหยุดไหลในที่สุด

สรุป การแปรงฟันแล้วเลือดออกไม่ใช่เรื่องปกติ และมักเป็นสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาในช่องปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเหงือกอักเสบ การระบุสาเหตุที่แท้จริงของการมีเลือดออกขณะแปรงฟันเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่จะได้รับการรักษาและคำแนะนำในการดูแลสุขภาพช่องปากที่เหมาะสม หากคุณมีเลือดออกขณะแปรงฟันเป็นประจำ ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป

Share This:
Share:
โปรทำฟัน
โปรจัดฟัน
เลือกสาขา